ติดตามบทความล่าสุดของผู้เขียนได้ที่ phpinfo() Facebook Page
มาเขียน PHP ให้ทำงานอย่างประสิทธิภาพ (Performance) กันเถอะ (ตอนที่ 3) บทความนี้นำเสนอสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับภาษา PHP ทั้งสิ่งที่ควรใช้ และไม่ควรใช้ ที่จะทำให้โปรแกรมทำงานได้เร็วขึ้น
11. ใช้ isset() แทน count() กับ indexed array หรือ string ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบจำนวนสมาชิก หรือจำนวนตัวอักษร ว่าเกินกว่าที่กำหนดไว้หรือไม่
สมมติเรามี indexed array ดังต่อไปนี้
$arr = array(0, 1, 2, 3, 4, 5);
แล้วเราต้องการจะตรวจสอบว่า จำนวนสมาชิกใน array นี้ มีจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่าหรือเท่ากับที่กำหนดหรือไม่ โดยปกติเราจะใช้ count()
if (count($arr) > 5) {
// do something
}
ในกรณีนี้ เราสามารถใช้ isset() แทนได้ ซึ่งความเร็วจะมากกว่าการใช้ count() มากๆ เพราะไม่มีการเรียกใช้ฟังก์ชั่น
// ตรวจว่ามีสมาชิกในตำแหน่งที่ 5 แล้วหรือยัง (สมาชิกตัวที่ 6)
// เพราะ indexed array ใน PHP สมาชิกตัวแรกจะเริ่มต้นที่ 0 (ถ้าไม่กำหนดเป็นอย่างอื่น)
// ประโยคนี้จะเท่ากับ if (count($arr) > 5)
if (isset($arr[5])) {
// do something
}
แต่ต้องระวังด้วยว่า การใช้ isset() เพื่อตรวจสอบความยาวของ array นั้น ต้องเป็น indexed array ที่มี key ต่อเนื่องกันเสมอ
$arr = array(0, 1, 2);
$arr[10] = 555;
$arr[11] = 666;
$arr[12] = 777; // มาถึงตรงนี้ $arr จะมีสมาชิก 6 ตัว แต่ key ไม่เรียงกัน
// ซึ่งจะทำให้เงื่อนไขตรงนี้ไม่เป็นจริง เพราะไม่มีสมาชิกที่มี key เท่ากับ 5
if (isset($arr[5])) {
// do something
}
เราสามารถใช้เทคนิคนี้กับ string ได้เช่นเดียวกัน
$str = 'Hello World';
// ประโยคนี้จะเท่ากับ if (strlen($arr) > 5)
if (isset($str[5])) {
echo "Error: string is too long";
}
แต่ในกรณีของ string ต้องเป็น string ที่เป็น encoding ชนิด single byte เท่านั้น
หากเป็นพวก UTF-8 จะไม่ได้ผลตามที่ต้องการ
หาก string ที่จะตรวจสอบมี encoding เป็นชนิด UTF-8
$str = 'สวัสดีจ้า'; // เห็นว่ายาวแค่ 10 ตัวอักษรก็จริง
// แต่เงื่อนไขข้างล่างจะเป็นจริงเสมอ
// เพราะภาษาไทยใช้ 3 bytes ต่อ 1 ตัวอักษร ดังนั้น 'สวัสดีจ้า' จะมีความยาว 30 ตัวอักษร (30 bytes)
if (isset($str[20])) {
echo "Error: string is too long";
}
ดังนั้นการตรวจความยาวของ multibyte string ต้องใช้ฟังก์ชั่นอื่นๆ ช่วย ไม่สามารถใช้ isset() ได้
$str = 'สวัสดีจ้า';
if (mb_strlen($str, 'UTF-8') > 10) {
echo "Error: string is too long";
}
12. ใช้ isset() แทน in_array()
ในกรณีที่เราต้องการตรวจสอบว่า มีค่าอยู่ใน array หรือไม่ เรามักจะใช้ in_array()
$types = array('bool', 'int', 'float', 'string', 'array');
if (in_array($value, $types)) {
// do something
}
ซึ่งหากต้องมีการตรวจสอบอะไรแบบนี้เป็นจำนวนหลายๆ ครั้ง (เช่นในลูป) จะเสียเวลามากๆ เพราะ in_array() เป็นฟังก์ชั่น และมีการทำงานในลักษณะของการวนลูปตรวจสอบค่าของสมาชิกทุกตัวใน array
ในกรณีนี้ เราสามารถใช้ associative array ร่วมกับ isset() ได้
คือแทนที่เราจะตรวจสอบว่า "มีค่าอยู่ใน array หรือไม่" เปลี่ยนเป็น "มี key อยู่ใน array หรือไม่" แทน
เร็วกว่ามากๆ
$types = array(
'bool' => true,
'int' => true,
'float' => true,
'string' => true,
'array' => true,
);
if (isset($types[$value])) {
// do something
}
ลองทดสอบความเร็วดู
<?php
$types = array('bool', 'int', 'float', 'string', 'array');
$t = microtime(true);
for ($i = 0; $i < 1000000; ++$i) {
if (in_array($i, $types)) {
}
}
$time['in_array()'] = microtime(true) - $t;
$types = array(
'bool' => true,
'int' => true,
'float' => true,
'string' => true,
'array' => true,
);
$t = microtime(true);
for ($i = 0; $i < 1000000; ++$i) {
if (isset($types[$i])) {
}
}
$time['isset()'] = microtime(true) - $t;
print_r($time);
Array
(
[in_array()] => 0.671875
[isset()] => 0.125
)
จะเห็นว่าการใช้ isset() จะเร็วกว่า in_array() ประมาณ 5 เท่า
13. ใช้ if หลายๆ ครั้ง แทนที่จะใช้ || ในกรณีที่มีการตรวจสอบเงื่อนไขนั้นบ่อยๆ (เช่นในลูป) และผลของเงื่อนไขนั้นคือการ return, break หรือ continue
ลองพิจารณาโค้ดต่อไปนี้
function abc($a, $b, $c)
{
// หากทั้งสามตัวแปร ตัวใดตัวหนึ่งให้ผลเป็น false ให้ออกจากฟังก์ชั่น
if (!$a || !$b || !$c) {
return;
}
// do something
}
ดูเผินๆ อาจจะไม่มีอะไร แต่เราสามารถทำให้โค้ดทำงานได้เร็วกว่านั้นด้วยการไม่ใช้ ||
function abc($a, $b, $c)
{
// หากทั้งสามตัวแปร ตัวใดตัวหนึ่งให้ผลเป็น false ให้ออกจากฟังก์ชั่น
if (!$a) {
return;
}
if (!$b) {
return;
}
if (!$c) {
return;
}
// do something
}
ในแบบหลังจะทำงานเร็วกว่า เพราะ PHP ไม่มีความจำเป็นต้องสร้าง expression stack และจะทำงานเร็วที่สุดในกรณีที่เงื่อนไขตัวแรกเป็นจริง ($a)
แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ใช้ในฟังก์ชั่นแบบนี้ ความเร็วจะเพิ่มขึ้นเพียงนิดเดียวจนแทบไม่เห็นความแตกต่าง แล้วเทคนิคนี้มีประโยชน์อย่างไร
ลองพิจารณาโค้ดต่อไปนี้
foreach ($items as $item) {
// หากสมาชิกตัวใดตัวหนึ่งของ $item ให้ผลเป็น false ให้ทำงานรอบถัดไปทันที
if (empty($item['a']) || empty($item['b']) || empty($item['c'])) {
continue;
}
// do something
}
จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นว่ามีการทำงานในลูป ซึ่งหากมีจำนวนครั้งของลูปมาก PHP ก็จะต้องสร้าง expression stack ตามจำนวนครั้ง
แบบนี้จะเร็วกว่า
foreach ($items as $item) {
// หากสมาชิกตัวใดตัวหนึ่งของ $item ให้ผลเป็น false ให้ทำงานรอบถัดไปทันที
if (empty($item['a'])) {
continue;
}
if (empty($item['b'])) {
continue;
}
if (empty($item['c'])) {
continue;
}
// do something
}
เทคนิคนี้จะมีประโยชน์มากในโปรแกรมที่ต้องการความเร็วสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่นโปรแกรมประเภท parser หรือ compiler
แม้จะต้องเขียนโค้ดยาวกว่าแต่ก็คุ้มค่าที่จะใช้ และทำให้โค้ดอ่านเข้าใจง่ายขึ้นด้วย
และเทคนิคนี้ใช้ได้กับทุกภาษาโปรแกรม เพราะไม่ว่าภาษาใดก็ตาม เงื่อนไขจำนวนมากทำงานช้ากว่าเงื่อนไขเดี่ยวๆ เสมอ
ทดสอบความเร็ว
<?php
$a = 1;
$b = 1;
$c = 1;
$t = microtime(true);
for ($i = 0; $i < 1000000; ++$i) {
if (empty($a) || empty($b) || empty($c)) {
continue;
}
}
$time['||'] = microtime(true) - $t;
$t = microtime(true);
for ($i = 0; $i < 1000000; ++$i) {
if (empty($a)) {
continue;
}
if (empty($b)) {
continue;
}
if (empty($c)) {
continue;
}
}
$time['multiple if'] = microtime(true) - $t;
print_r($time);
ผลลัพธ์
Array
(
[||] => 0.1875
[multiple if] => 0.15625
)
จะเห็นว่าการใช้ if หลายๆ ครั้งเร็วกว่าเล็กน้อย แม้จะไม่มีเงื่อนไขที่เป็นจริงเกิดขึ้นเลยก็ตาม
14. อย่าใช้ฟังก์ชั่นประเภท xxxval() แต่ใช้ casting operator แทน
ฟังก์ชั่นต่อไปนี้
intval()
floatval()
strval()
boolval() (PHP5.5)
เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้แปลงค่าให้เป็นชนิดที่ต้องการ
แต่เนื่องด้วยมันเป็นฟังก์ชั่น มันจึงทำงานช้า
ซึ่งการทำงานของมันสามารถทดแทนด้วย casting operator ได้แก่
(int)
(float)
(string)
(bool)
echo (int)'123.555';
echo (float)'123.555';
echo (string)'123.555';
echo (bool)'123.555';
ทดสอบความเร็ว
<?php
$t = microtime(true);
for ($i = 0; $i < 1000000; ++$i) {
$a = strval($i);
}
$time['strval()'] = microtime(true) - $t;
$t = microtime(true);
for ($i = 0; $i < 1000000; ++$i) {
$a = (string)$i;
}
$time['(string)'] = microtime(true) - $t;
print_r($time);
ผลลัพธ์
Array
(
[strval()] => 0.8125
[(string)] => 0.4375
)
จะเห็นว่า casting operator ทำงานเร็วกว่าเท่าตัว
15. อย่าใช้ function ที่เป็น alias ของอีกฟังก์ชั่น
PHP มีฟังก์ชั่นเป็นจำนวนมาก ที่เป็น alias ของอีกฟังก์ชั่นหนึ่ง (ชื่อต่างกัน แต่ทำงานเหมือนกัน) เช่น
join() = implode()
sizeof() = count()
pos() = current()
chop() = trim()
fputs() = fwrite()
session_commit() = session_write_close()
ซึ่งความเร็วของมันส่วนใหญ่จะช้ากว่าเรียกใช้ฟังก์ชั่นตัวจริง
ทดสอบความเร็ว
$arr = array(1, 2, 3);
$t = microtime(true);
for ($i = 0; $i < 1000000; ++$i) {
$n = sizeof($arr);
}
$time['sizeof()'] = microtime(true) - $t;
$t = microtime(true);
for ($i = 0; $i < 1000000; ++$i) {
$n = count($arr);
}
$time['count()'] = microtime(true) - $t;
print_r($time);
ผลลัพธ์
Array
(
[sizeof()] => 0.390625
[count()] => 0.375
)
บทความที่เกี่ยวข้อง
มาเขียน PHP ให้ทำงานอย่างประสิทธิภาพ (Performance) กันเถอะ (ตอนที่ 1)
มาเขียน PHP ให้ทำงานอย่างประสิทธิภาพ (Performance) กันเถอะ (ตอนที่ 2)
ติดตามบทความล่าสุดของผู้เขียนได้ที่ phpinfo() Facebook Page